ปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) รักษาด้วยเทคนิค PMS
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและวิถีชีวิตเปลี่ยนไปสู่การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome) ได้กลายเป็นภาวะที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนวัยทำงานจำนวนมาก อาการปวดคอ บ่า ไหล่ ที่เรื้อรัง ไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญ แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้นได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี
ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือกลุ่มอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อเกร็ง หรือความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและข้อต่อที่เกิดจากการทำงานในสภาพแวดล้อมออฟฟิศ เช่น นั่งทำงานในท่าซ้ำ ๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จนเกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและการทำงานผิดปกติของเส้นประสาทเล็ก ๆ ในบริเวณคอ บ่า ไหล่ ซึ่งสามารถแสดงออกเป็นปวดเฉพาะที่ ปวดร้าว หรืออ่อนแรงได้
“ออฟฟิศซินโดรม” ภัยเงัยบที่ทำลายสุขภาพ
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในประชากรวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำงานในท่าเดิมๆ ซ้ำๆ หรือมีกิจกรรมทางกายจำกัด ภาวะนี้เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อและโครงสร้างร่างกายที่ผิดปกติเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวด คอ บ่า ไหล่ หลัง และอาจลามไปถึงอาการชาหรืออ่อนแรงในแขนและมือ จากข้อมูลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการนั่งทำงานเป็นเวลานานเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมอย่างมีนัยสำคัญ
5 สาเหตุหลักที่นำไปสู่ “ออฟฟิศซินโดรม”
- ท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง: การนั่งหลังค่อม ยื่นคอไปข้างหน้า การวางแขนที่ไม่รองรับ ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องทำงานหนักเกินไปและเกิดการตึงตัว
- การใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ: การพิมพ์งาน การใช้เมาส์ หรือการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการล้าและอักเสบ
- การขาดการเคลื่อนไหว: การนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน และเกิดการสะสมของของเสีย
- อุปกรณ์สำนักงานที่ไม่เหมาะสม: โต๊ะ เก้าอี้ จอคอมพิวเตอร์ ที่ไม่ถูกหลักการยศาสตร์ (Ergonomics)
- ความเครียด: ความเครียดจากการทำงานส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มขึ้น
อาการที่พบบ่อยของ “ออฟฟิศซินโดรม”
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และสะบัก อาการอาจเป็นแบบปวดตื้อๆ ปวดลึกๆ หรือปวดร้าว
- ปวดศีรษะ: จากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อคอและบ่า
- ชา หรืออ่อนแรง: อาจมีอาการชาที่แขน มือ หรือนิ้วมือ หากมีการกดทับเส้นประสาท
- ตาพร่ามัว หรือแสบตา: จากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
- อาการอื่นๆ: อาจมีอาการเวียนศีรษะ นอนไม่หลับ หรืออาการทางระบบย่อยอาหารร่วมด้วย (สืบเนื่องจากความเครียด)
PMS คืออะไร? และกลไกการทำงานเป็นอย่างไร?
Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) คือ เทคนิคการบำบัดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายและเนื้อเยื่อเป้าหมาย กลไกการทำงานของ PMS อาศัยหลักการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าในเนื้อเยื่อ ซึ่งนำไปสู่การกระตุ้นการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ การปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และการกระตุ้นการฟื้นฟูของระบบประสาท การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า PMS มีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนการรับรู้ของระบบประสาท (Neuroplasticity) ที่ผิดปกติให้กลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลดอาการปวดเรื้อรัง นอกจากนี้ การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ายังช่วยเพิ่มการปลดปล่อยสารสื่อประสาทและสารควบคุมการอักเสบในบริเวณที่ทำการรักษา ส่งผลให้เกิดการบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
PMS มีวิวัฒนาการมาจาก Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ซึ่งใช้ในการรักษาโรคเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท อย่างไรก็ตาม PMS ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้กระตุ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
กลุ่มอาการและโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยเทคนิค PMS
PMS ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาออฟฟิศซินโดรมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการบำบัดโรคและอาการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ดังนี้:
- อาการปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง: รวมถึงอาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เอ็น และกระดูก เช่น อาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยออฟฟิศซินโดรม
- กลุ่มอาการชา: ไม่ว่าจะเป็นมือชา ขาชา หรือเท้าชา ที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท ความผิดปกติของปลายประสาท หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า PMS สามารถช่วยปรับปรุงการนำกระแสประสาทในผู้ป่วยเหล่านี้ได้
- การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ: PMS สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมระบบประสาทส่วนที่เสียหาย ทำให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น
- โรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก: คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเข้าถึงรากประสาทที่อยู่ลึก ช่วยเร่งการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่ถูกกดทับจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อม
- ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตจากหลอดเลือดสมอง: PMS สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงและชะลอการฝ่อของกล้ามเนื้อ ลดอาการเกร็ง และช่วยฟื้นฟูระบบประสาทส่วนที่เสียหาย ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ข้อดีของการรักษาด้วยเทคนิค PMS
การนำ PMS มาใช้ในการรักษาออฟฟิศซินโดรมได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าพอใจ โดยมีข้อดีที่สำคัญดังนี้:
- ประสิทธิภาพสูงและรวดเร็ว: ผู้ป่วยมักสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทันทีหลังจากการรักษาครั้งแรก และหากทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์จะยิ่งชัดเจนและคงทน
- ครอบคลุมทั้งอาการและสาเหตุ: PMS ไม่เพียงแต่บรรเทาอาการปวด แต่ยังเข้าไปจัดการกับสาเหตุหลักที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- กระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟู: ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายและฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท รวมถึงการปรับโครงสร้างเส้นประสาท (Neuroplasticity) ให้กลับมาเป็นปกติ
- สะดวก และปลอดภัย: เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะโดยรอบ และใช้เวลาในการรักษาต่อครั้งค่อนข้างสั้น ทำให้สะดวกสบายต่อผู้ป่วย
- ลดอาการชาและเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ: มีรายงานว่า PMS ช่วยลดอาการชาและสามารถเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อได้แม้ในกล้ามเนื้อที่มีอาการอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
ข้อควรระวังในการรักษาด้วยเทคนิค PMS
แม้ว่า PMS จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อห้ามในการใช้บางประการ
ข้อห้าม/ข้อควรระวัง:
- ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกายบางชนิด
- ผู้ที่มีโลหิตออกง่ายหรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่รักษา
- หญิงตั้งครรภ์ (ควรประเมินความเสี่ยง/ประโยชน์)
- ผู้ที่มีประวัติชักหรือโรคระบบประสาทบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน (คำแนะนำเฉพาะรายต้องมาจากแพทย์/กายภาพบำบัดผู้มีใบอนุญาต)
Wellbase Saha Clinic เรามุ่งมั่นที่จะมอบการดูแลรักษาที่ดีที่สุด โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจะประเมิน วิเคราะห์ และวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ปราศจากอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ที่กวนใจ อย่าปล่อยให้ออฟฟิศซินโดรมมาบั่นทอนคุณภาพชีวิต มาร่วมก้าวไปสู่สุขภาพที่ดีขึ้นด้วยเทคนิค PMS ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ Wellbase Saha Clinic
ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายได้ที่ Wellbase Saha Clinic
โทร: 093-639-5224
Line: @wellbasesahaclinic (มี@ข้างหน้า)
Facebook: https://www.facebook.com/Wellbasesahaclinic
Instagram: https://www.instagram.com/wellbasesahaclinic
TikTok: https://www.tiktok.com/@wellbasesahaclinic
Google Maps: https://maps.app.goo.gl/uksNRxceVxDcLjK86